วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

สมุดเยี่ยมhora for life

สมุดเยี่ยม hora for life

 สมุดเยี่ยมhora for life


สวัสดีมิตรรักทุกท่านที่วะมาเยี่ยมเว็บโหราฟอร์ไลฟ์แห่งนี้ เชิญเขียนสมุดเยี่ยมแสดงความคิดกับเราแนะนำติชมกัน หรือต้องการให้มีอะไร ก้อคอมเม้นฝากไว้ได้ตรงช่องด้านล่างนี้เลยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

อัตถชีวประวัติหมอเถาว์ บรมครูแห่งโหราศสตร์ไทย




ท่านเขียนลงในหนังสือพยากรณ์สาร ฉบับเดือนกรกฎาคม 2525 โดยใช้หัวข้อเรื่อง
ว่า "ชีวิตโหรเก่าที่ผมรู้จัก" ท่านได้เขียนถึงวิถีชีวิตของท่าน ได้เขียนถึงโหรเก่าๆ และเขียนถึงการได้เล่าเรียนในหลักวิชาโหราศาสตร์ที่ภายหลังท่านนำมาใช้จนมี ชื่อเสียงโด่งดังในหมู่นักโหราศาสตร์ในปัจจุบัน ก็ขอเชิญมารับชมรับฟังกันได้ครับ

"ชีวิตโหรเก่าที่ผมรู้จัก" อรุณ ลำเพ็ญ (พยากรณ์สาร กค.2525)
ชีวิตโหราศาสตร์ของผมเริ่มต้นมาแต่เด็กวัย ๑๐ ขวบเศษ ผมเกิดและเติบโต
จากหมู่บ้านที่ติดกับวัดเชิงเลน (วัดบพิตรภิมุข) บิดาผมคุ้นเคยกับพระรูปหนึ่งในวัด
โดยไปมาหาสู่และถวายภัตตาหารเสมอมา ผมว่างผมก็ตามบิดามาเล่นบนกุฏิท่าน
ส่วนบิดาก็เสวนาเรื่องโหราศาสตร์ตามที่ท่านชอบกับพระรูปนั้น พอผมหมดเรื่องเล่น
ผมก็มานั่งฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่งเป็นกิจวัตรประจำ ภิกษุรูปนั้นก็คือ "โหรแดง"
แห่งวัดบพิตรภิมุข ผู้โด่งดังในวงการโหรยุคเมื่อ 50 ปีก่อน โหรรุ่นเก่าทุกท่านรู้จัก
ท่านดีว่า ท่านเชี่ยวชาญในการใช้ดาวใหญ่ คือ เสาร์ ราหู พฤหัส เท่านั้นในการพยากรณ์
ซึ่งเป็นที่แม่นยำน่าพิศวง 

พอชีวิตเริ่มเป็นหนุ่ม ๒๐ เศษ ได้เข้าฝึกงานหนังสือพิมพ์ สยามนิกรยุค ซึ่งคุณ
โชติ แพร่พันธุ์ (ยาขอบ) เป็นคนคุมหนังสือฉบับนั้น และมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งทำงาน
กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ คือคุณจำนง วงศ์ข้าหลวง (ต่อมาท่านได้เป็น
นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงมาก) ผมได้ไปมาหาสู่ จนได้พบนักโหราศาสตร์ท่านหนึ่งในยุค
นั้นถือกันว่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เพราะท่านเขียนเรื่องโหราศาสตร์ไทยไว้เป็นเล่มมาก
เล่ม เป็นนักโหราศาสตร์ร่วมยุคกับท่านอายัณโฆษ ใช้นามปากกาว่า "ธงดำ" 

ผม รียกชื่อจริงของท่านว่า พี่ชอุ่ม ท่านชอบเสพสุราและผมก็กำลังหัดกินเหล้าจึงถูกชัก
ชวนมาร่วมวง ขณะกินเหล้าพี่ชอุ่มมักชอบสาธยายความรู้ทางโหราศาสตร์เสมอ ไม่เอา
ใจใส่ก็เหมือนต้องเอาใจใส่ เพราะต้องเอาใจพี่ชอุ่มซึ่งเป็นเจ้าของเหล้า เสวนากันเป็น
แรมปี จนบางครั้งเรามาตั้งวงกินเหล้ากันลำพัง พอใครเอ่ยเรื่องดวงเรื่องดาวขึ้นมา
มักถูกเรียกเป็นพี่ชอุ่มเสมอ 

ต่อมาได้ย้ายงานหนังสือพิมพ์มาทำอยู่หนังสือพิมพ์ สยายรีวิว ของนายชอ้อน
อำพล ผู้เป็นน้าชาย เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ออกทุกวันเสาร์ ฉะนั้นวันจันทร์ถึง
วันศุกร์จึงเป็นวันที่เร่ร่อนเที่ยวไปทุกแห่งเพื่อพบผู้คนมากมายเพื่อหาข่าวมาเขียนใน
วันเสาร์ น้าชอ้อนเป็นคนกว้างขวางมีเพื่อนมากได้ไปทุกแห่ง แต่พอตกบ่ายมักจะมา
หยุดลงที่วัดยานนาวา ที่กุฏิริมแม่น้ำ อันเป็นกุฏิของพระมหาบุญช่วย เพราะที่นี่เป็นที่
ชุมนุมผู้คนไปมามากหน้าหลายตาทั้งแขกขาประจำและแขกจรได้เรื่องราวมาเขียนมาก 

พระมหาบุญช่วยก็คือ "ญาณโชติยศาสตร์" นักโหราศาสตร์ซึ่งต่อมาเขียนตำราโหรา
ศาสตร์ไว้มากมายหลายเล่ม และนักโหราศาสตร์รุ่นเก่ารู้จักกันทุกคน แขกขาประจำมัก
จะมาสนทนาโต้แย้งสนับสนุนกันถึงเรื่องโหราศาสตร์ไทยกันอย่างสนุกสนาน บางครั้ง
ร่วมวงกว่า ๑๐ คน ส่วนแขกจรมักเป็นคุณหญิงคุณนาย และผู้ใหญ่ที่มาดูดวงกัน
ท่านชอบทายต่อหน้านักโหราศาสตร์อื่นๆ พอทายถูกโดยไม้เด็ดเคล็ดลับ บ้างหัวร่อ
เฮฮากันจนคนมาดูอายม้วนก็เคยมีหลายๆครั้ง พอเจ้าตัวกลับไป ท่านก็จะอธิบายดวง
โดยนักโหราศาสตร์อื่นๆดูเป็นความรู้ติดตัวไปเสมอ 

ต่อมาผมได้ย้ายบ้านมาอยู่กับน้าชอ้อนที่บ้านถนนข้าวสาร น้าชอ้อนคุ้นเคยอยู่กับ
โหรใหญ่ท่านหนึ่ง ผู้ลาออกจากกรมโหรหลวงในขณะที่เป็นรองเจ้ากรมโหรฯ เหตุที่ลา
นัยว่าเพื่อหนีตำแหน่งเจ้ากรมโหรฯ เพราะได้รับการทาบทามแล้วแต่ท่านต้องการที่จะ
หลีกทางให้เพื่อนรัก คุณพระญาณเวทท่านชอบเสพสุราเป็นนิจ จึงถูกอัธยาศัยกับน้า
ชอ้อนเป็นอันดี บ้านท่านอยู่หลังวัดบวรนิเวศน์ ซึ่งห่างจากบ้านผมเพียงถนนเดียวเอง 

น้าชอ้อนมักมาติดแหมะอยู่บ้านคุณพระญาณเวทตั้งแต่เย็นจนดึกดื่นเสมอ และเมื่อผม
ถูกใช้ให้มาตามกลับ มักติดแหมะอยู่ด้วยอีกคน เพราะท่านเป็นคนคุยสนุก ท่านเป็นคน
แปลกกว่าผู้มีความรู้ทางโหราศาสตร์ทั่วไป ถ้าไม่ถามเรื่องโหราศาสตร์ท่านก็จะไม่พูด
เรื่องโหราศาสตร์เลย แต่เวลาท่านพูดท่านจะพูดและบอกให้อย่างจริงจังและแจ่มแจ้ง
ผมชอบเลียบเคียงถามเรื่องโหราศาสตร์กับท่าน มิใช่ประสงค์จะเรียนรู้เอาจริงเอาจัง
เพียงแต่ได้สังเกตเห็นว่าคราวใดที่ท่านได้พูดคุยถึงโหราศาสตร์ สีหน้าท่านจะเบิกบาน
มีความสุขเป็นอันมาก 

และสิ่งที่ผมต้องการคือ จดจำขี้ปากท่านไว้สนทนากับวงสนทนา
อื่นแสดงภูมิเท่านั้น ยังมิได้คิดจะเรียนรู้อย่างจริงจังประการใด
ต่อมาหนังสือพิมพ์สยามรีวิวเลิกไป ผมก็เร่ร่อนแต่ส่วนใหญ่ก็มารวมกลุ่มนักสุรา
บาลที่บ้านถนนดำรงรักษ์ อันเป็นบ้านของ ม.ล.บัว มารดาคุณก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา
(ไม้ เมืองเดิม) 

สมาชิกแต่ละท่านล้วนเป็นนักเขียนชื่อดังทั้งสิ้น เช่น สุมทุม บุญเกื้อ
มนัส จรรยงค์ , ยศ วัชรเสถียร , พาณี นานครั้งคุณเลียว ศรีเสวก (อรวรรณ) คุณเหม
เวชกร ก็เคยมาร่วมด้วย ขณะนั้นมีสมาชิกใหม่คือคุณสะอาด จันทรกานตานนท์ เป็น
ผู้จัดการโรงพิมพ์รองเมือง ชวนให้ตั้งคณะออกหนังสืออ่านเล่น พวกเราจึงตกลงรับ
ปากตั้งคณะรองเมือง มีจดหมายแฟนหลั่งไหลเข้ามามาก คุณก้านเป็นผู้ตอบจดหมาย 

ตั้งนามปากกาผู้ตอบว่า"นายเถาวัลย์" หนักๆเข้าคุณก้านก็โอนให้ผมเป็นผู้ตอบแทน
ประมาณปี 2490 เศษ น้าชอ้อน อำพลได้ลงสมัครผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบฯ
ความผูกพันที่ผมมีอยู่จึงทิ้งงานไปชั่วระยะหนึ่งเพื่อไปช่วยหาเสียงช่วยน้าชอ้อน นับตั้ง
แต่ปิดใบปลิวปิดโปสเตอร์ ปาฐกถาและพูดจาแสดงคารมชักชวน

 เมื่อเข้าตัวจังหวัด สถานที่ชักจูงคนระดับแนวหน้าของจังหวัดนั้น ที่ไหนก็ไม่เหมาะเท่าวัดของหลวงพ่อ วัดเกาะหลัก เพราะศิษย์ของท่านไปมาหาสู่ท่านไม่ขาด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญของ
จังหวัดทั้งสิ้น น้าชอ้อนเคยรับราชการอยู่จังหวัดประจวบ และเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ วัดเกาะหลัก

บางครั้งมากินมานอนอยู่ที่วัดหลายวันหลายๆครั้ง ผมก็ได้ติดตามมาด้วย
ทุกครั้ง บนกุฏิของหลวงพ่อเวลาค่ำลงเหมือนมีงานมหรสพผู้คนไปมามากมาย ส่วน
ใหญ่จะเป็นศิษย์ทางด้านโหราศาสตร์และทางธรรม น้ำชากาแล้วกาเล่า หลวงพ่อนั่งบน
อาสนะ รายล้อมไปด้วยศิษย์ จำได้ว่าศิษย์ท่านคนหนึ่งคือ คุณอำนวยพร เป็นผู้จัดการ
โรงแรม รถไฟหัวหิน เป็นศิษย์โหราศาสตร์มักไต่ถามมากกว่าคนอื่นๆ ท่านก็จะชี้แจงให้ฟังเหมือนครูสอนศิษย์ในชั้นเรียน บรรดาศิษย์ที่สนใจก็จะรุมกันซักสารพันปัญหา ท่านก็จะชี้แจงแตกฉานรอบรู้สมกับเป็นปราชญ์ทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง 

ต่อ มาประมาณปี 2495 ผมก็เปลี่ยนเข็มชีวิตจากนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์เข้าทำงานที่บริษัทนิ วอีสต์เอเชีย เป็นบริษัทเดินเรือลำเลียง ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชิปปิ้ง การทำงานครั้งนี้ได้พบโหรดังเข้าอีกท่านหนึ่ง คือ "อาจารย์เทอม เสตะกสิกร" ในยุคนั้นท่านดังมาก เพราะผลการพยากรณ์แม่นยำเป็นที่เล่าลือมาก คุณเทอมเป็นโหรสมัครเล่น เข้ามารับหน้าที่ในบริษัท เป็นคนไปติดต่อกรมเจ้าท่าเพื่อตรวจเรือของบริษัท คุณเทอมสามารถทำงานนี้ได้ดีเป็นพิเศษ

 เพราะอาศัยความคุ้นเคยชอบพอกับคุณหลวงดรณี ซึ่งท่านเป็นผู้รอบรู้วิชาโหราศาสตร์เป็นเอกอีกท่านหนึ่งในสมัยนั้น ขณะนั้นท่านมีตำแหน่งนายช่างใหญ่หรือรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมก็เลือนๆไปบ้าง
ตอนนั้นเนื่องจากผมถูกโหราศาสตร์ครอบงำมาก จึงสนใจอาจารย์เทอมมาก เลียบเคียงจะขอเรียนด้วย แต่คุณเทอมมักปิดประตูหมดจนผมไม่มีโอกาสจนแล้วจนรอดจน ท้อไปเอง 

คนสุดท้ายนี้ ประหลาดกว่าท่านอื่นๆเป็นอันมาก คือ มิได้เป็นทั้งโหร มิได้เป็นหมอดู แต่เป็น ช่างก่อสร้าง ในปี 2500 ผมมาดำเนินธุรกิจของตนเอง โดยได้ร่วมหุ้นตั้งบริษัทโรงพิมพ์อำพล
พิทยา จำกัด ขึ้นที่บ้านน้าชอ้อน ที่ถนนข้าวสาร จำเป็นต้องปลูกสร้างตัวโรงพิมพ์และ
ต่อเติมบ้านผมเองในบริเวณที่ว่างในบ้านใหญ่

มีเพื่อนชักนำช่างรับเหมาก่อสร้างมาให้คนหนึ่ง ท่าทางเป็นคนต่างจังหวัดเต็มตัว
ดูท่าทางขยันขันแข็งดี ทั้งๆที่วัยล่วงเข้า 50 ปีเศษแล้ว ช่างไม้ช่างปูนล้วนแต่เป็นลูก
หลานทั้งสิ้น ท่านชื่อว่า "อิน" ผมเลยเรียกว่า ครูอิน 

การก่อสร้างต่อเติมบ้านจำเป็นต้องรื้อห้องหนังสือผมออกเสียก่อน ครูอินแกยืน
คุมให้รื้อและช่วยผมยกย้ายหนังสือต่างๆในตู้ซึ่งมีอยู่ร่วมพันเล่ม เมื่อแกได้เห็นหนังสือ
โหราศาสตร์ ที่ผมสะสมไว้ทั่วทุกสารทิศมีมากมาย แกยิ้มๆถามผมว่า ถ้าคงจะเก่งโหราศาสตร์ ผมตอบแกตามตรงว่า ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย ยิ่งเรียนยิ่งโง่ลงทุกที คิดจะเลิกหลายหน
ครูอินกลับซักไซร้ผมว่า เรียนมาทางสายไหน ผมยิ่งงงหนัก ไม่เข้าใจว่าโหราศาสตร์ มีสายมีทางเหมือนทางดนตรีไทยหรือไร 

ครู อินอธิบายให้ฟังว่าโหราศาสตร์มีหลายสายคือสายทางภาคเหนือ สายทางภาคกลางและสายทางภาคใต้ ส่วนสายทางภาคอีสานมีน้อยมักเป็นเลข ๗ ตัวเสียมาก แต่ละภาคมักจะมีทางเล่นทางพยากรณ์แตกต่างกันบ้างในวิธีการพยากรณ์
ผมชักเอะใจ ครูอินเป็นช่างก่อสร้าง ทำไมดูรอบรู้เรื่องราวของโหราศาสตร์กว้าง
ขวางนัก ผมจึงถามเอาตรงๆว่า ครูอินมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์บ้างหรือเปล่า 

แก รับโดยไม่ลังเลเลยว่า เมื่อหนุ่มๆเคยเรียนมาเพราะถูกบังคับให้รับถ่ายทอดจากน้าชายซึ่งขณะนั้นอยู่ นครศรีธรรมราช และครูอินท่านมีพื้นเพเป็นคนนครฯ 

ครูอินท่านว่า เรียนมาแล้วก็มิได้ใช้เป็นกิจลักษณะ นอกจากเข้าวงอับวงรา จำเป็นจึงใช้ ทั้งนี้เพราะท่านไม่ชอบเป็นหมอดู ท่านว่ามักอาภัพไม่ร่ำรวยเหมือนอาชีพอื่น 

ผม ซักไซร้ทุกด้านทุกมุมของโหราศาสตร์เท่าที่ปัญญาและความรู้ที่ผมมีอยู่ขณะ นั้น 
ข้อความที่อธิบายสูงข้ามหัวผมไปทุกเรื่องทุกปัญหา จนผมเองยอมรับว่า ครูอินมีความรู้ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์ไทยอย่างเจนจัดแท้จริง 

ผมเอ่ยปากขอเรียนกับท่าน แต่ท่านไม่รับปากทันทีกลับย้อนถามผมว่า อาชีพผมก็ร่ำรวยแล้ว จะเรียนเอาไปทำอะไร ผมตอบตามจริงว่า เอาไว้ช่วยทุกข์ของคนที่เขามีทุกข์มาจะได้รู้ทันชีวิต 

ครูอินท่านว่า ถ้าความตั้งใจเรียนเป็นกุศลจิตก็พอจะเรียนได้ ท่านรับปากจะสอนให้
จนหมดพุง ส่วนจะดีเลวกว่าทางโหรกรุงเทพหรือเปล่าท่านไม่รู้
รุ่งขึ้น ครูอินให้ผมจัดธูป เทียน ดอกไม้ อย่างละ ๙ ดอก พากันไปในโบสถ์วัดชนะฯ
ท่านให้จุดธูปเทียนบูชาพระประธานในโบสถ์ และรับสัจจะทีละข้อ
๑. อย่านำเอาวิชานี้ไปใช้ในทางทุจริตผิดศีลธรรม ทั้งเพื่อตนเองหรือผู้อื่น
๒. เวลาพยากรณ์ผู้ใด อย่าพึงมี โลภะ โทสะ โมหะ เพราะจะทำให้จิตเอนเอียง จะทำให้พิจารณาผิดพลาด
- โลภะ คือเห็นเขาเป็นเศรษฐีหรือผู้มีอำนาจ หวังได้ลาภยศเกินกว่าควรจะได้
- โมหะ คือมีความหลงผิดในผู้มาให้พยากรณ์ หรือหลงว่าตนเก่ง
- โทสะ คืออย่าเกิดความโกรธ ความเกลียด ความรัก ผู้มาให้พยากรณ์ จะเกิดจิตใจเอนเอียงในคุณในโทษ ทำให้พยากรณ์ผิด
๓. ข้อสุดท้ายเป็นข้อที่สำคัญยิ่งคือ เมื่อดาวพฤหัสเดินครบรอบจากวันที่ผมเรียนนี้ให้สอนถ่ายทอดวิชานี้ไว้แก่ ศิษย์ให้จงได้ เพราะวิชานี้เป็นกุศล เมื่อศิษย์คนใดใช้เป็นกุศลแก่ผู้อื่น อาจารย์เก่าต้นตำรับท่านจะได้กุศลด้วยเสมอ
การเรียนโหราศาสตร์ไทยกับครู อินครั้งนี้ เป็นการเรียนครบถ้วนกระบวนความทุกประการ กฎเกณฑ์การอ่านดวงเดิมและการพยากรณ์จร อันเป็นวิธีที่วิจิตรพิสดารอย่างมิได้เคยเรียนรู้มาก่อน 

นับแต่นั้นเป็น ต้นมา ชีวิตโหราศาสตร์ของผมก็ได้แตกฉานรอบรู้เป็น หมอเถา(วัลย์) ตั้งแต่นั้นได้พยากรณ์แก่ผู้ใกล้ชิดและเพื่อนฝูงเสมอมามิได้ขาด แต่มิได้เป็นหน้าเป็นตา เพราะขณะนั้นผมมีกิจธุระทำโรงพิมพ์ของตนเอง 

โหร เอกคนสุดท้ายที่ได้พบกันคือ คุณประทีป อัครา ผมได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ.2497 แต่มิได้มาสมาคม ต่อมาปี 2512 จึงได้มีโอกาสมาสมาคมบ่อยครั้ง ได้สังเสวนากับคุณประทีป อัครา ก็เป็นที่ต้องอัธยาศัยกันตามประสาเพื่อน ..............................................

ข้อความที่เหลือก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เป็นเรื่องของท่านกับอ.ประทีป อีกนิดหน่อย
ผมเลยตัดไป หวังว่าทุกคนที่ได้อ่านคงจะรู้เรื่องของ อ.อรุณ ลำเพ็ญ มากขึ้น หลัก
วิชาของท่านเป็นหลักวิชาที่ใช้ได้กว้างขวาง วิจิตรพิสดาร เป็นอย่างยิ่ง ผมเองยัง
เสียดายอย่างยิ่งที่มาเริ่มเรียนโหราศาสตร์หลังจากที่ท่านได้มรณะไปแล้ว ทำให้ไม่ได้
รับการถ่ายทอดจากท่าน เป็นศิษย์ของท่าน แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังนับถือท่านและ
ถือว่าท่านเป็นบูรพาจารย์โหรไทยในจิตใจของผมเสมอมา ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ดวงขมขื่นในความรัก

ว่า กิเลสกำดัดโภคทรัพย์ โลกียะให้ทายศุกร์
อันตรง ข้ามกับพระเสาร์ที่มีปรัชญาว่าโทษทุกข์วิบากให้ทายเสาร์ ดาวคู่นี้จึงงมีคุณสมบัติที่สวนทางกันดดยสิ้นเชิง คือฝ่ายหนึ่งเป็นความสุข อีกฝ่ายเป็นความทุกข์ขมขื่นขม  อีกทั้งเมื่อดาวคู่นี้อยู่ร่วมกันยังเป็นดาวคู่ศัตรูอีกด้วย ดังกลอนที่ว่าศุกร์เสาร์เป็นเสี้ยนศัตรู

เมื่อหมอดูผูกดวงขึ้นมาก็จะทราบว่า ชีวิตรักของเจ้าชะจานั้นๆสดใสหรือแห้งแล้งได้

จาก ที่ผมเก็บสถิติมาค่อนข้างตรงทีเดียว คือผู้ที่มีดาวคู่นี้ในดวงชะตากุมกันหรือทำมุมเสียต่อกันคือเป็น อริ มรณะ วินาสน์แก่กัน หาความสุขในเรื่องรักๆใคร่ๆได้ไม่เต็มที่หรือตะขืดขะขวงแปลกมักมีชีวิตรัก ที่ไม่สู้จะปกติราบรื่นแบบคนอื่นๆนักจะหวานก็เพียงเล้กน้อย หนักไปทางขมมากกว่า ออกไปทางเอกเพรสโซ่ อ่อดาวคู่นี้ยังมีชื่อที่ใช้กันในหมู่โหรว่าดาวคู่ขื่นขมหรือดาวคู่ผะอืดผะ อมอีกด้วย

เอาล่ะทีนี้ผมจะแสดงมุมดาวแต่ละแบบให้ฟัง






แบบ ที่1.ดาวเสาร์๗และศุกร์๖กุมกันในราศีเดียวกัน แบบนี้เรียกว่ารับไปเต็มๆ ดาวศุกร์เป็นดาวเล็กกว่าพระเสาร์เมื่อมาอยู่กุมกันจึงถูกเบียนอย่างแรง
พระศุกร์ที่สดชื่นแจ่มใสจึงรับความทุกข์จากเสาร์มาเต็มที่เฉาลงทันใด ลักษณะเช่นนี้จะถูกคู่ข่ม ถูกกดดันหาความสุขได้ยากนัก

แบบที่2เล็งกัน แบบนี้เหมือนข้อ1แต่เบาลงมานิดนึง ได้รับโทษประมาณ50เปอเซน

แบบ ที่3.พระเสาร์และศุกร์โยคกัน(ห่างกันสามราศี)รับโทษประมาณ30เปอเซน ลักษณะเช่นนี้เหมือนมีความสุขได้ไม่เต็มที่คอยหวาดหวั่นตลอดเวลา ไม่มีความมั่นคง

แบบที่4.เบียนหลังเสาร์และศุกร์อยู่ราศีติด กัน(เป็นวินาสน์)รับโทษประมาณ30เปอเซน มีความรักที่มีเรื่องต้องเก็บกดปิดบังบอกใครไม่ได้กลืนไม่เข้า คายไม่ออก

แบบที่5พระเสาร์และศุกร์เป็น6เป็น8ต่อกัน คือ(เป็นอริและมรณะต่อกันนั่นเอง) ลักษณะเช่นนี้ มีความรักเหมือนมีศัตรูเหมือนไม่มีคู่
รับโทษประมาณ30เปอเซน



ขอจบบทความดวงดาวในเรื่องรักๆเพียงนี้ก่อน พบกันบทความหน้าคับ สวัสดี

บันทึกคนค้นดวง หมอเอส.

15/พย.57












การเรียนโหราศาสตร์หากผู้ศึกษาด้วยสัมมาทิฐิย่อมเข้่าถึงหลัก อิทัปปัจจยตา
คือเพราะมีสิ่งนี้ จึงเกิดสิ่งนั้น(การเดินภพของดาวในดวงชะตา) เกิดเป็นเรื่องราวของชีวิต ภายใต้ดวง คือรุปทรงกลมหรือวัฏฏะ(การหมุนวน)ต่อ เมื่อมีลัคนาขึ้นมาเกิดเป็นเรือนภพขึ้นมาแล้ว12เรือน เราจึงเรียกดวงกลมนี้ว่าดวงชะตา
ตั้งต้นที่ภพตนุไปคือ
๑. อวิชชาทำให้เกิดสังขาร
๒. สังขารทำให้เกิดวิญญาณ
๓.วิญญาณทำให้เกิดนามรูป
๔.นามรูปทำให้เกิดสฬายตะนะ
๕.สฬายตะนะทำให้เกิดผัสสะ
๖.ผัสสะทำให้เกิดเวทนา
๗.เวทนาทำให้เกิดตัณหา
๘.ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน
๙.อุปาทานทำให้เกิดภพ
๑๐.ภพทำให้เกิดชาติ
๑๑.ชาติทำให้เกิด...
๑๒.ชราและมรณะ
ดวงชะตาอันเกิดแต่ชนกกรรมโดยมีกำลังธาตุ กำลังดาวเข้ามาครองในเรือนภพสุดแต่บุคคลนั้นๆเกิดมาตรงกับร่องชะตาตามวัน เวลาใดประจวบเหมาะ ตำแหน่งดีร้ายอย่างไรกับดาวบนท้องฟ้า
เรียกสิ่งนี้เรียกว่าฟ้ากำหนด(กรรม) ที่เรียกฟ้าเพราะใช้ดวงดาวเป็นเครื่องมือ
เมื่อเกิดภพ-ชาติขึ้นเป็นดวงชะตาแล้ว
ดาวจร(อุปถัมภกกรรม)จะทำหน้าที่หล่อเลี้ยงต่อไป คือ กรรมที่ทำหน้าที่อุดหนุนหรือส่งเสริมทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม กล่าวคือ ในทางที่ดีก็ส่งเสริมให้กุศลกรรมให้ดียิ่งๆขึ้นไป ในทางที่ชั่วก็ส่งเสริมให้อกุศลกรรมส่งผลให้เลวร้ายต่ำทรามมากลงไปในดวงชะตา นั้นๆ
หรือดาวจรที่คอยมาตัดรอนตามเวลา(อุปปีฬกกรรม)
คือ กรรมมีหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นเข้าไปทำร้ายหรือบีบคั้นกรรมอื่นที่มีสภาพ ตรงกันข้าม ซึ่งมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล เป็นผลให้กรรมฝ่ายตรงกันข้ามอ่อนกำลังลงเสื่อมลง
ที่สุดท้ายแล้วสังขตธรรม(ธาตุทั้งหลายที่ถุกปรุงแต่ง)หรืออิทธิพลจากดวงดาว ตามกรรมในวันเดือปีดิถีเวลายามนั้นนี้ขึ้นมาเป็นดวงชะตา ก็ย่อมเสื่อมสลายไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเช่นเดียวกัน
ลัคนา อันเป็นจุดเกิดแห่งเรือนชาติภพทั้ง12เมื่อเวียนจบครบจักรราศีตามกำลังธาตุ จะหลือเพียงดวงธรรมอันว่างเปล่า...ที่มีชนกกรรมนำไปเท่านั้น
บันทึกคนค้นดวง9/6/57.

คุณภาพแห่งรักในดวงชะตา

ำถามยอดนิยมอันดับต้นๆของหมอดูหรือโหร คงหนีไม่พ้นเรื่องความรัก ตราบที่เรายังเป็นปุถุชน ผู้หนาแน่นด้วยกิเลส

ก็จะอธิบายในแง่มุมที่เรียบง่ายในแบบมุมมองของโหราศาสตร์ไทย
กิเลสกำหนัด ท่านให้ทายศุกร์ เพราะพระศุกร์เป็นดาวแทนแห่งโลกียะ
จากที่ผ่านดวงมาหลายดวง ตามที่ผมสังเกตนั้น ดวงที่มักอาภัพรักหรือมีปัญหาในรักมากนั้นมักมีส่วนประกอบดังนี้
1.คุณภาพของดาวศุกร์ในดวงเสื่อม เช่นเป็นนิจ เป็นประ
2.มี ดาวบาปเคราะห์ทำมุมสัมพันธ์ร้ายต่อกัน เช่นดาวเสาร์อยู่ในเรือนภพที่เป็นอริ มรณะวินาสน์แก่ดาวศุกร์หรือกุมกัน ยิ่บงเล็งลัคนาด้วยก็ชัดเจน เข้าเกณฑ์ดวงแตก

มักต้องมีชีวิตคู่ในแบบที่กะท่อนกะแท่นระทมขื่นขมเศร้าทรวงใน ไปไม่ค่อยรอด ผิดหวังหลายครา

และที่ตำราท่านว่าลัคนาที่ไม่สมพงษ์ คือลัคนาที่เป็นอริมรณะวินาสน์แก่กัน
อันนี้เท่าที่เห็นมา มักอยู่ด้วยกันนานมากก ทั้งนี้มิได้ค้านตำราที่ครูอาจารท่านสอนไว้ แต่มันมีเหตผลของมันอยู่

อีก ประการที่พบดาวศุกร์ที่เป็นมหาอุจจ์ได้มาตรฐานที่สูงทางโหราศาสตร์ กลับมีความรักที่ไม่ค่อยราบลื่น จะเรียกว่ามันสูงมากไปจนยล้นก็เป็นได้

หากมองในหลักพระพุทศาสนานั้นคนที่อยู่วมกันได้ยาวนานมักมีวิบากกรรมด้านลบต่อกันมากเสียมากกว่า
เพราะวิบากกรรมชั่วเมื่อเสวยผลเรามักรู้สึกยาวนานกว่าบุญหรือความสุขเสมอ

เรื่องดวงสมพงษ์นั้นจึงมิใช่ประเด็นว่าจะครองรักกันนานหรือมินาน
แต่ความหมายของสมพงษ์**คือการครองรักอย่างราบลื่น ร่วมทุกข์-ร่วมสุข มีเมตตาต่อกัน อาจจะสั้นหรือยาวก็ได้


เมื่อ ดวงความรักเสีย ก็อาจไม่ได้เสียตลอดไปทั้งนี้หากมีดาวศุภเคราะห์ ทำมุมตรีโกณมาถึง หมายถึงดวงความรักต้องเสียก่อน แล้วจึงพลิกดีในภายหลัง

ดัง บางคู่ต้องเลิกลากันเสียก่อนครั้งหนึ่ง จึงมาดีในภายหลัง ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยปัจจัยของพื้นดวงเดิม50เปอเซน ชัยภูมิสิ่งแวดล้อม25เปอเซนต์
 และกรรม หรือการกระทำในปัจจุบันอีก25เปอเซน

ใครที่ดวงไม่ดีในเรื่องความรักก็เลือกเอาครับว่าเราจะปล่อยตามยถากรรมตามดวงเดิม
หรือเลือกที่เบี่ยงมันด้วยการกระทำ สุดท้ายเปลี่ยนคนรักไม่ได้ก็เปลี่ยนตัวเองนี่ล่ะคับ


ใช้ สติ ใช้ธรรมะเข้าพิจารณาตามเป็นจริงของกฏไตรลักษณ์ ถึงความเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ หมายมั่นไม่ได้ เป็นเพียงอุปาทานในภพชาติ ไม่มีตัวตน เจริญสติปัฏฐาน4เนืองๆ

คิดเสียว่ามีก็ดี ไม่มีก็ดี ดีที่สุดคือเป็นที่พึ่งให้ใจตนเองได้ รักตนเอง เคารพตนเองเป็น เมื่อเราสร้างวิบากกกรมใหม่และใช้กรรมเดิมหมดแล้ว สิ่งดีๆย่อมมาสู่เรา รวมถึงคู่แท้ย่อมได้มาพานพบ โดยที่เราไม่ต้องวิ่งไล่ตามหามัน

บท ความนี้บันทึกในเชิงสันทนาการแลกเปลี่ยนเป็นมุมมองส่วนตัวในฐานะที่เป็นโหร ผ่านการสังเกตดวงมาหลายดวงในสนามจริงเท่านั้น ไม่สามารถใช้อ้างอิงเป็นวิชาการได้

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

บันทึกคนค้นดวง2กันยายน2557.